เรื่องของการก่อเหตุจลาจลที่รุนแรงในเมียนมาร์ ที่ยังคงมีการชุมนุมที่เพิ่มมากขึ้น

ด้วยลักษณะของการก่อกำเนิดรัฐประหารในคราวนี้ที่มีการปฏิบัติต่อกรุ๊ปผู้รวมกันของประเทศตนเองกันนั้นให้การลงชื่อของเหล่าหัวหน้าในเมืองนอกเองก็เริ่มที่จะควรมีการลงความเห็นขั้นเด็ดขาดสำหรับในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมานี้เองยังก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาร์อย่างยิ่งเวลานี้เอง ก็เลยทำให้การลงความเห็นการคว่ำบาตรของการกระทำหน้าที่ของนายพลภายในประเทศเมียนมาร์นั้นลงบัญชีดำกับประเทศอื่นๆสำหรับในการตกลงใจลงมือกระทำรัฐประหารในคราวนี้

จากสถานะการณ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นที่เกิดขึ้นกันนี้เองในความเห็นของเหล่าผู้นำประเทศที่ได้มีการสัมมนากันในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการก่อรัฐประหารในประเทศเมียนมาร์ในคราวนี้ที่ยังทวีความร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆกันนั้นก็บ่งบอกถึงแล้วว่าการจัดการกับปัญหายังไม่รุดหน้าไปถึงไหนเลย

แล้วก็ยังมีความหวั่นเกรงสำหรับการบัญชาของรัฐบาลเมียนมาร์สำหรับเพื่อการปล่อยตัวปล่อยใจผู้ต้องขังออกมาเนื่องในวันสหภาพเมียนมาร์ที่มีการปล่อยตัวปล่อยใจกรุ๊ปผู้ต้องขังที่ประพฤติชอบ ที่อยากแสดงความยุติธรรมให้แก่มนุษย์กับฝูงชนที่ได้ถูกปล่อยตัวปล่อยใจกันไปนั้นเอง

แม้กระนั้นในความหวั่นกลัวที่ได้มีการคิดเอาไว้แล้วว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีความหมายซ่อนเร้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยออกมาเพื่อทำให้เกิดความโกลาหลในเรื่องราวคราวนี้ที่มีการโกลาหลกันอยู่นั้นเอง แล้วก็ยังมีเรื่องมีราวของการที่ทหารภายในประเทศเมียนมาร์นั้นไม่มีการเอาอย่างหน้าที่อยู่นี้เอง ยิ่งแปลงเป็นอีกหนึ่งข้อไม่สบายใจของเหตุรวมกันในคราวนี้ว่าจะมีความร้ายแรงไปทางไหนกันนั้นเอง

อย่างที่ได้มองเห็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการก่อรัฐประหารที่มีการใช้อิทธิพลสำหรับเพื่อการสั่งของทางภาครัฐที่ได้มีความต้องการบัญชาสำหรับการยับยั้งเรื่องราวไม่สงบในคราวนี้ของการก่อโกลาหลของพสกนิกรที่เรียกร้องสิทธิของตนกันนั้นเองจะมองเห็นได้ว่ามีท่วงท่าของความร้ายแรงในสถานการณ์คราวนี้ไม่น้อยลงอะไร รวมทั้งยังมีเรื่องมีราวของการออกคำสั่งสำหรับในการให้เหล่าทหารรวมทั้งตำรวจปฏิบัติหน้าที่สำหรับการคุ้มครองป้องกันเหตุประชุมในคราวนี้